ความหมายและแหล่งที่มาของมลพิษทางทะเล
ความหมายของคำที่เกี่ยวข้อง
มลพิษ Pollution หมายถึง
สภาวะที่สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงหรือปนเปื้อนโดยสารพิษทำให้คุณภาพของสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลง
สารมลพิษ pollutants ตามความหมายที่ให้ไว้ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 หมายถึง ของเสีย วัตถุอันตราย และมลสารต่างๆ
รวมทั้งกาก ตะกอน หรือสิ่งตกค้างจากสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ
แล้วก่อให้เกิดภาวะที่เป็นพิษภัยอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิตต่างๆ
รวมถึงอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน และหมายถึง รังสี ความร้อน แสง เสียง กลิ่น
ความสั่นสะเทือน หรือเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ
ที่เกิดหรือถูกปล่อยออกจากแหล่งกำเนิดมลพิษด้วย
มลพิษทางทะเลและชายฝั่ง Marine and Coastal Pollution การนำเสนอเอาสารมลพิษต่างๆ
ลงสู่สิ่งแวดล้อมในทะเลและชายฝั่ง ไม่ว่าจะโดยจงใจหรือไม่จะโดยทางตรงหรือทางล้อม
อันก่อให้เกิดผลเสียต่อสิ่งมีชีวิต เป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์ หรือ
การทำให้คุณภาพสิ่งแวดล้อมในทะเลและชายฝั่งเสื่อมลงและทำให้คุณค่าทางสุนทรีภาพลดลง
คำว่า “มลพิษ”
ทุกคนทราบดีว่าเป็นสิ่งสิ่งที่ไม่ดี โดยเฉพาะ “มลพิษทางทะเลและชายฝั่ง”
ที่มีแนวโน้มความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกปี
ซึ่งสอดคล้องกับอันตราการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกและความเจริญ
ประชากรโลกและความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี
กับคำถามที่เกิดขึ้นทุกครั้ง เมื่อเกิดมลพิษทางทะเลและชายฝั่ง ก็คือ
ความเสียหายที่เกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด เกิดขึ้นกับใครบ้าง มาตรการป้องกันและแก้ไขจะทำอย่างไร ดังนั้น เพื่อที่จะตอบคำถามเหล่านี้
จำเป็นที่จะต้องพิจารณาและศึกษาถึงชนิดของสารที่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษในทะเลผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของสารมลพิษ
ต่อสภาพแวดล้อม พืช และสัตว์ในทะเล
ผลกระทบเกี่ยวเนื่องที่จะเกิดขึ้น ต่อแหล่งอาหาร สุขภาพอนามัยของมนุษย์ การค้าการท่องเที่ยว ผลต่อระบบนิเวศและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในทะเลข้อมูลทั้งหมดจะนำมาใช้ในการกำหนดแนวทางและมาตรการที่ควรจะกระทำเพื่อจะลดปันหาที่เกิดขึ้นต่อไป
1.2 แหล่งกำเนิดมลพิษ
ทะเลและชายฝั่ง นอกจากเป็นแหล่งอาหารของมนุษย์แหล่งใหญ่แหล่งหนึ่งแล้วยังเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีความหมายหลากหลายมีคุณค่ามากมายในปัจจุบันแหล่งทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเสื่อมโทรมอย่างมาก
ทั้งนี้เนื่องมากจากทะเลและชายฝั่งเป็นแหล่งสุดท้ายที่รองรับของเสียจากแหล่งต่างๆ ซึ่งถูกพัดตามลำน้ำแล้วสะสมกัน
นอกจากนี้ยังมีสาเหตุสำคัญมาจากการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วบริเวณชายฝั่ง ส่งผลให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย
โดยไม่คำนึงถึงความเสื่อมโทรมที่จะเกิดขึ้นกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
การนำเทคโนโลยีและวิทยาการต่างๆ
มาใช้ในการดำเนินกิจกรรมทั้งในภาคการเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม
และการท่องเที่ยว
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดปัญหาจนเกิดมลพิษทางทะเลและชายฝั่ง น้ำทะเลเสื่อมคุณภาพสเป็น
ร้างความเสียหายต่อพืชและสัตย์ที่อยู่บริเวณทะเลและชายฝั่ง และความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้ก็ส่งผลย้อนกลับมายังมนุษย์ แหล่งกำเนิดมลพิษดังกล่าวสามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท ดังนี้
1.2.1 แหล่งกำเนิดมลพิษจากชายฝั่ง
1. ชุมชน Communities ชุมชนบริเวณชายฝั่งทะเลและปากแม่น้ำที่มีชุมชนหนาแน่น เป็นแหล่งก่อให้เกิดมลพิษจากกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะมาจากอาคารบ้านเรือน ตลาดสด
สำนักงาน โรงพยาบาล เป็นต้น
ซึ่งน้ำทิ้งจากแหล่งดังกล่าวมีความสกปกสูง
เช่น ปริมาณฟอสฟอรัสและไนโตรเจนสูง
ทำให้พืชน้ำเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
เป็นเหตุให้ต้องใช้ออกซิเจนในการสังเคราะห์แสงมากขึ้น จนทำให้แหล่งน้ำเกิดภาวะขาดออกซิเจนและเสื่อมคุณภาพได้ ส่วนขยะหรือของเสียที่เป็นของแข็งได้แก่ โฟม
ยาง ขวดแก้ว และวัสดุที่ทำจากพลาสติกต่างๆ
อาจมีอันตรายต่อสัตย์น้ำ เพราะคิดว่าเป็นอาหาร
เนื่องจากขยะดังกล่าวใช้เวลาย่อยสลายเวลานาน เช่นกระป๋องอะลูมิเนียมมีอายุ 200
– 300 ปี ขวดพลาดสติกมีอายุ
450 ปี โฟมมีอายุ 500 ปี
ขวดแก้วไม่สามารถย่อยสลายได้
ของเสียและขยะเหล่านี้มักจะมาจากชุมชนที่ติดกับแม่น้ำที่ไหลลงสู่ทะเลหรือชุมชนที่ติดอยู่กับทะเลของเสียที่ถูกทิ้งดังกล่าวเมื่อถูกพัดเข้าสู่ชายฝั่งจะทำให้บริเวณนั้นสกปก เสียทัศนียภาพ และไม่เหมาะแก่การท่องเที่ยว
2. อุตสาหกรรม Industrial Plants
แบ่งออกตามประเภทของสารมลพิษ ได้ดังนี้
อินทรียสาร
โรงงานที่ก่อให้เกิดอินทรียสาร ได้แก่ โรงงานกระดาษ ผลิตภัณฑ์ อาหาร น้ำตาล เหล้า
และเบียร์ เป็นต้น โดยน้ำเสียจากแหล่งดังกล่าวมักมีปริมาณฟอสฟอรัสและไนโตเจนสูง
ทำให้การเจริญของแบคทีเลียและเชื้อราเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้จะใช้ออกซิเจนในการย่อยสลาย อินทรียสาร
ปริมาณออกซิเจนในน้ำจึงลดลงและมีค่าความสกปรกในรูปของบีโอดีสูงทำให้สัตว์น้ำติดเชื้อหรือขาดก๊าซออกซิเจนจนตาย
ภาวะมลพิษแบบนี้สังเกตได้จากการเกิดน้ำเน่าเหม็น
ความร้อน เกิดจากการปล่อยน้ำจากระบบท่อล่อเย็นของโรงงานอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ
โดยน้ำที่ปล่อยมีอุณหภูมิสูงกว่าน้ำในสภาพแวดล้อม
ทำให้ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำลดลง และเกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนการเมแทบอลิซึมของสัตว์น้ำ
เช่น การหายใจ การกินอาหารและการมีผลส่งต่อการวางไข่ของปลาส่วนสัตว์ที่เคลื่อนที่ได้อาจจะอพยพไปอยู่ที่อื่นซึ่งเป็นการสูญเสียแหล่งอาหาร
โลหะหนัก Heavy Metals เกิดจากการทิ้งของเสียจากโรงงานที่มีโลหะหนักปนอยู่ เช่นโรงงานทำพลาดสติก ผลิตคลอรีน
เครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิดและสีกันเพรียง เป็นต้น โลหะหนักส่วนใหญ่ที่พบได้แก่ ปรอด ตะกั่ว แคดเมียม ทองแดง สังกะสี เหล็ก
แมงกานีส โคบอลต์ และเงิน เป็นต้น สารเหล่านั้นสามารถสะสมและถ่ายทอดไปตามห่วงโซ่อาหาร นอกจากนี้ยังเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
3. เกษตรกรรม Agriculture ประเทศไทยได้พัฒนาจากระบบเกษตรกรรมมาสู่อุตสาหกรรม
ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืชต่างๆ การเลี้ยงสัตว์
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ก่อให้เกิดมลพิษทางทะเลได้
4. การท่องเที่ยว Touism ปัจจุบันการท่องเที่ยวทางทะเลได้รับความนิยมสูง
และสิ่งที่ตามมาคือการเพิ่มขยะมูลฝอย ของเสียและน้ำทิ้งตามสถาที่พักตากอากาศ
ร้านอาหารและสถานบริการอื่นๆรวมทั้งเรือโดยสารทำให้น้ำในทะเลนอกจากนี้ยังเป็นธรรมชาติทางทะเล เช่น
การทิ้งสมอเรือบริเวณแนวปะการังปัญหาเหล่านี้ย่อมส่งผลให้ทรัพยากรชายฝั่ง
ระบบนิเวศ ใต้ท้องทะเล และทัศนียภาพของแหล่งท่องเทียวนั้นเสื่อมโทรมลง
และยังมีผลต่อสุขภาพอนามัยของนักท่องเที่ยวและประชาชนในท้องถิ่นนั้น รวมไปถึงส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐ์กิจด้วย
5. ท่าเรือและสะพานปลา
Fishing Post บริเวณท่าเรือส่วนใหญ่มีการรั่วไหล
ของน้ำมันจากการซ่อมเครื่องยนต์ การถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำทิ้งจากท้องเรือ
และการทำความสะอาดเรือ ส่วนท่าเทียบเรือประมงและสะพานปลา พบว่าน้ำทิ้งจากการล้างทำความสะอาดสัตว์น้ำ
การล้างทำความสะอาดท่าเรือประมง ไหลลงสู่แหล่งน้ำโดยตรง
โดยไม่ผ่านการดักเศษชิ้นส่วนสัตว์น้ำและระบบบำบัดใด จึงมักมีคราบไขมัน เศษซากสัตว์น้ำ
และเศษขยะมูลฝอยลอยอยู่บนผิวน้ำ
ซึ่งน้ำทิ้งเหล่านี้จะมีสารอิทรียปนเปื้อนเป็นจำนวนมากมีผลต่อคุณภาพน้ำและสิ่งมีชีวิตในบริเวณนั้น
2 .แหล่งกำเนิดมลพิษในทะเล
กิจกรรมในทะเลที่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมทางทะเล
มีอยู่หลายอย่างด้วยกันที่สามารถทำให้เกิดมลภาวะมลพิษทางทะเล
ทำให้น้ำทะเลเสื่อมโทรมลงจนเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ
การรั่วไหลของน้ำมัน
เกิดจากอุบัติเหตุทางเรือ เช่น
เรือชนกัน การอับปางของเรือ
และกิจกรรมการเดินเรือ เช่นการถ่ายน้ำมันเครื่อง การระบายน้ำในท้องเรือ การขนถ่ายน้ำมัน การขุดเจะก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันในทะเล น้ำทิ้งเหล่านี้ล้วนปนเปื้อนน้ำมันก่อให้เกิด
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทัองทะเล เนื่องจากน้ำมันบนผิวน้ำไปขัดขวางการถ่ายเทก๊าซออกซิเจนระหว่างอากาศและน้ำ
ทำให้สัตว์น้ำขาดออกซิเจน
ส่วนคราบน้ำมันจะเคลือบขนของสัตว์ และถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกาย
ยัยยั้งการสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตโดยเฉพาะไข่นกจะไม่สามารถฝักออกเป็นตัวได้นอกจากนี้คราบน้ำมันยังปิดกั้นแสงสว่างที่ส่องลงมาสู่พื้นท้องน้ำมีผลต่อกระบวนการสังเคราะห์
แสงของพืชน้ำ น้ำมันที่ความเข้มข้นสูงอาจทำให้สัตว์น้ำตายได้
น้ำมันที่มีความหนาแน่สูงเมื่อจมลงสู่พื้นที่ท้องทะเล มีผลต่อสัตว์หน้าดิน
ผลกระทบที่กล่าวมานี้จะทำให้สุนทรียภาพและความงามของแหล่งท่องเที่ยวหมด
ปรากฎการณ์น้ำเปลี่ยนสี หรือที่ชาวประมงเรียกว่า ขี้ปลาวาฬ
เกิดจากแพลงก์ตอนพืชบางชนิดที่รับธาตุอาหาร โดยเฉพาะไนโตเจน ฟอสฟอรัส
และสภาวะที่เหมาะสมจึงเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนขึ้นรวดเร็ว
ทำให้น้ำทะเลมีสีเปลี่ยนไปตามสีของแพลงก์ตอนที่มีมาก
การเกิดน้ำทะเลเปลี่ยนสีทำให้มีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำน้อยลงจนถึงในระดับที่สัตว์น้ำอยู่ไม่ได้ หรือเกิดจากการอุดตันในช่องเหงือกโดยแพลงก์ตอน
รวมทั้งการตายลงของแพลงก์ตอนพืชน้ำทำให้น้ำทะเลเกิดการเน่าเสีย มีกลิ่นเหม็น
ชายฝั่งสกปรกทำลายทัศนียภาพและการท่องเที่ยว นอกจากนี้การบริโภคสัตว์น้ำที่สะสมสารพิษจากแพลงก์ตอนพืช
โยเฉพาะพวกหอยต่างๆอาจทำให้เกิดโรคพิษอัมพาตในหอย
การขุดเจาะก๊าชธรรมชาติ ( naturat field)
ในก๊าชธรรมชาติและของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตก๊าชธรรมชาติมีสารปรอทอยู่
แม้แต่น้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดเบื้องต้นแล้วยังพบว่ามีสารปรอทเจือปนอยู่ร้อยล่ะ
4
ซึ่งหากไม่มีการจัดการอย่างถูกวิธีจะทำให้สารปรอทแพร่ออกสู่ทะเล (กรมควบคุมมลพิษ 2538)
การทำเหมืองแร่ในทะเล (offshore mining)
สารมลพิษงแรจากการทำเหมืองแร่นี้
คือ
ตะกอนที่เกิดจากการขุดและล้างแร่จะฟุ้งกระจายและถูกพัดพาไปในบริเวณใกล้เคียง เนื่องจากการแพร่กระจายของตะกอนทำให้น้ำขุ่นเป็นการทำลายความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวและไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของปะการังสัตว์น้ำวัยอ่อนและมีคุณค่าทางเศรกิจโดยตะกอนไปอุดตันตามเหงือก
หรือ ตกทับอยู่บนตัวสัตว์น้ำ
การขุดลอกร่องน้ำ (Dredging) การขุดลอกพื้นที่เพื่อจัดแนวร่องน้ำเข้าท่าเรือ
มี 2 ขั้นตอน คือ
การเคลื่อนย้ายดินตะกอนจากพื้นท้องน้ำและการทิ้งดินตะกอน ก่อให้เกิดการเพิ่มปริมาณตะกอนและสารแขวนลอยในน้ำ การเพื่มความขุ่นของน้ำ
การเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพของพื้นท้องน้ำ ถ้ากรณีที่ทิ้งดินตะกอนในทะเลการเปลี่ยนแลงจะเกิดจากการทับถมของตะกอนดิน
กรณีทิ้งตะกอนบนฝั่งอาจก่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะอุทกวิทยาของพื้นที่
เช่นทิศทางการไหลของน้ำผิวดินและการเปลี่ยนแปลงลักษณะสมุทรศาสตร์ชายฝั่ง
การฟุ้งกระจายของสารอาหารและสารเป็นพิษ
การเปลี่ยนแปลงปริมาณของพืชและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนท้องน้ำ
การจำแนกสารมลพิษที่ปล่อยลงสู่ทะเลและชายฝั่ง
1.
สารมลพิษที่ย่อยสลายได้ มีองค์ประกอบของสารอินทรีย์เป็นส่วนใหญ่ โดยทั่วไปสารอินทรีย์เหล่านี้ถือเป็นอาหารของแบคทีเรีย
ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเบื้องต้นในระบบห่วงโซ่อาหารในทะเลในสภาพที่มีออกซิเจนคือ
คาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ และแอมโมเนีย
อย่างไรก็ตามหากสารมลพิษเหล่านี้ถูกปล่อยลงสู่ท้องทะเลมากเกินไป
สามารถทำให้น้ำทะเลอยู่ในภาวะขาดออกซิเจนโดยผลที่จะได้รับจากการย่อยสลายแบคทีเรียในกลุ่มนี้
สามารถทำให้เกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ และมีเทน อันจะก่อให้เกิดปัญหามลพิษตามมา
2.
ปุ๋ยจากการเกษตร จะมีผลเช่นเดียวกับสารอินทรีย์ กล่าวคือไนเตรต
และฟอสเฟต
จะถูกชะล้างจากพื้นที่การเกษตรลงสู่ทะเล
ทำให้เกิดการเพิ่มจำนวนของแพลงก์ตอนและการตายของแพลงก์ตอนเหล่านี้สะสมตามพื้นท้องทะเลอาจทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจน
3.
สารที่เป็นอันตราย
ณ จุดที่ปล่อย
เป็นมลพิษที่เกิดจากอุตสาหกรรมบางประเภท
โดยปัญหาของมลสารเหล่านี้จะเกิดขึ้นและมีผลทันทีต่อสิ่งแวดล้อมในบริเวณจุดที่ปล่อยออกมา การคงอยู่ของมลสารเหล่านี้ จะขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น
อัตราการปล่อย กระแสน้ำ เป็นต้น สารมลพิษเหล่านี้ ได้แก่ ความร้อน กรดและด่าง ไซยาไนด์
4.
สารที่คงทนต่อการสลายตัว เป็นสารมลพิษที่มีความคงทนต่อการสลายตัว
และมีปฎิกิริยาอันตรายโดยตรงต่อพืชและสัตว์ทะเล สารมลพิษเหล่านี้ ได้แก่ -
โลหะหนัก ปรอท ทองแดง
ตะกั่ว สังกะสี
-
สารฆ่าแมลงกลุ่มออร์แกโนคลอรีน ดีดีที
สารพอลีคลอริเนต ไบเฟนีล
สารกัมมันตรังสี
ได้ความรู้มากคร้า
ตอบลบ